อนุสาขากุมารเวชศาสตร์โรค
ติดเชื้อ
Fellowship Training in Pediatric Infectious Diseases

- ปรัชญาและปณิธาน
- วิสัยทัศน์
- ค่านิยม
- พันธกิจ/วัตถุประสงค์ของการฝึกอบรม
- การรับสมัครแพทย์ประจำบ้านต่อยอดสาขากุมารเวชศาสตร์โรคติดเชื้อ
- ดาวน์โหลดเอกสาร
ปรัชญาและปณิธาน
- คุณธรรมนำหน้า วิชาการทันสมัย วิจัยทันยุค เชิงรุกบริการ
กุมารฯ พัฒนา เพื่อความก้าวหน้าสังคมไทย ก้าวไปสู่สากล
วิสัยทัศน์
- เป็นหน่วยงานที่เป็นเลิศในด้านวิชาการ สร้างงานวิจัย ทางกุมารเวชศาสตร์ และการบริการสุขภาพเด็ก เปี่ยมด้วยคุณธรรม จริยธรรม เพื่อประชาชน และเป็นที่ยอมรับในระดับสากล
MOVE
- M – modern ทันสมัย
- O – omniscient รอบรู้
- V – virtuous มีคุณธรรม
- E – enthusiastic กระตือรือร้น
โรคติดเชื้อเป็นสาเหตุสำคัญของการป่วยและการตายของเด็กไทย ทั้งในเด็กปกติและเด็กที่มีโรคประจำตัวอยู่ก่อน โดยเฉพาะที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง โรคติดเชื้อที่สำคัญได้แก่ โรคติดเชื้อที่พบบ่อย เช่น โรคติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โรคติดเชื้อทางเดินอาหาร โรคมือเท้าปาก เป็นต้น โรคเขตร้อน เช่น ไข้เลือดออก ชิคุนกุนยา เป็นต้น โรคที่ป้องกันได้ด้วยวัคซีน โรคเอชไอวีและโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่ปัจจุบันมีแนวโน้มสูงขึ้นในวัยรุ่น โรคติดเชื้อที่พบไม่บ่อยนักแต่มีความรุนแรง โรคติดเชื้อฉวยโอกาสที่มีความซับซ้อนในการรักษา โรคติดเชื้ออุบัติใหม่ และโรคติดเชื้ออุบัติซ้ำ ซึ่งสถานการณ์โรคติดเชื้ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำมีความสำคัญและแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างมาก จากความก้าวหน้าทางด้านชีวภาพ เทคโนโลยีการติดต่อ สื่อสาร เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำเป็นไปอย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ในอดีตที่ผ่านมาพบปัญหาการระบาดของโรคติดเชื้ออุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ เช่น โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (SARS) โรคไข้หวัดใหญ่สัตว์ปีก (Avian Influenza) โรคไข้หวัดใหญ่ H1N1 2009 โรคฝีดาษวานร (Monkey pox) เป็นต้น จนในปลายปี พ.ศ. 2562 มีการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโรคโควิด 19 (COVID –19) ที่มีการแพร่ระบาดในวงกว้าง เกิดผลกระทบรุนแรงต่อทุกภาคส่วน ทั้งระบบสาธารณสุข เศรษฐกิจ ของประเทศต่างๆ ทั่วโลก จนองค์การอนามัยโลกได้ประกาศให้เป็น ภาวะฉุกเฉินด้านสาธารณสุขระหว่างประเทศ และกระทรวงสาธารณสุขของประเทศไทยโดยคณะกรรมการโรคติดต่อแห่งชาติได้ประกาศให้ไวรัสโคโรนา 2019 เป็น โรคติดต่ออันตราย ลำดับที่ 14 ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2558 การเกิดโรคติดเชื้ออุบัติใหม่เป็นโรคใหม่ที่มีปัญหาในการวินิจฉัยและรักษา ตลอดจนการป้องกันและควบคุมโรค มีองค์ความรู้ใหม่ ๆ เกิดขึ้นมาก จำเป็นต้องมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ซึ่งผ่านการฝึกให้มีความรู้และทักษะในการปฏิบัติงาน ไม่ว่าจะเป็นการวินิจฉัย การเลือกใช้เทคนิคทางห้องปฏิบัติการที่เหมาะสม การรักษา การป้องกันโรคติดเชื้อในโรงพยาบาลและชุมชน (Infection control) รวมทั้งการป้องกันควบคุมการระบาดของโรค การรายงานโรคติดต่อหรือสถานการณ์การระบาดตามแนวทางของสำนักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค การประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนร่วมกำหนดแนวทาง และมาตรการต่างๆ ในระดับชุมชนโรงพยาบาลจนถึงระดับประเทศ รวมถึงการให้คำแนะนำและออกแนวทางการให้วัคซีนป้องกันโรค เพื่อลดปัญหาของการแพร่กระจายของโรคระบาดนั้นๆ
นอกจากปัญหาโรคติดเชื้อในชุมชน ปัญหาการติดเชื้อในโรงพยาบาลที่มีเพิ่มขึ้นในทุกโรงพยาบาล และปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพที่เป็นวิกฤตร่วมกันของประชาคมโลก นับว่าเป็นปัญหาหลักสำคัญอีกปัญหาหนึ่งในระบบบริการทางการแพทย์และสาธารณสุขของประเทศ อันก่อให้เกิดความสูญเสียทั้งด้าน ชีวิต สุขภาพ เศรษฐกิจเป็นจำนวนมหาศาล และผลกระทบด้านอื่น ๆ ตามมาอีกมาก ปัจจุบันปัญหาเชื้อดื้อยาต้านจุลชีพเพิ่มขึ้นอย่างมาก ไม่ว่าจะเป็นเชื้อแบคทีเรียดื้อยาทำให้ไม่ตอบสนองต่อการรักษาด้วยยาต้านจุลชีพที่มีอยู่เดิม หรือวัณโรคดื้อยาที่มีปัญหามากขึ้น โดยในปีพ.ศ. 2561 กระทรวงสาธารณสุขประกาศให้วัณโรคดื้อยาหลายขนาน ชนิดรุนแรงมาก เป็นโรคติดต่ออันตราย ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2558 เพื่อใช้มาตรการทางกฎหมายสนับสนุนการดำเนินงานป้องกันควบคุมวัณโรคดื้อยา หลายขนานชนิดรุนแรงมาก แพทย์โรคติดเชื้อจะมีบทบาทในการป้องกันและควบคุมการติดเชื้อในโรงพยาบาล และการให้คำแนะนำในการเลือกใช้ยาต้านจุลชีพที่เหมาะสม ตลอดจนกำหนดนโยบายการใช้ยา เพื่อป้องกันการใช้ยาต้านจุลชีพเกินความจำเป็น ที่ทำให้เกิดความสิ้นเปลืองทางเศรษฐกิจและเกิดปัญหาเชื้อดื้อยาทั้งในโรงพยาบาลและในชุมชน
นอกจากการดูแลรักษาแล้ว การดูแลระบบสุขภาพและการสร้างเสริมสุขภาพที่เกี่ยวข้องกับโรคติดเชื้อก็เป็นบทบาทสำคัญของกุมารแพทย์โรคติดเชื้อ กระทรวงสาธารณสุขได้กำหนดแผนยุทธศาสตร์และแนวทางในการกำจัดและกวาดล้างโรคติดเชื้อหลายโรคเพื่อให้สอดคล้องไปกับนโยบายขององค์การอนามัยโลก เช่น การดำเนินงานป้องกันและควบคุมโรคไวรัสตับอักเสบบีและซี โดยมีเป้าหมายให้ประเทศไทยกําจัดโรคไวรัสตับอักเสบ บี และ ซี ภายในปี 2573 (Elimination of hepatitis B and C by 2030) แผนยุทธศาสตร์การกําจัดโรคหัดและหัดเยอรมันของประเทศไทย (Measles and rubella elimination by 2023 for WHO South-East Asia Region) แผนยุทธศาสตร์การกวาดล้างโรคโปลิโอของประเทศไทย (Polio Eradication Strategy 2022–2026) และการเฝ้าระวังผู้ป่วยอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกเฉียบพลัน (Acute Flaccid Paralysis : AFP) เป็นต้น นอกจากนี้การให้คำแนะนำและกำหนดแนวทางการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคสำหรับเด็กในวัยต่างๆ ตั้งแต่แรกเกิดจนถึงวัยรุ่นรวมไปถึงการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคสำหรับแพทย์ พยาบาลและบุคคลากรทางการแพทย์ก็เป็นอีกบทบาทสำคัญของกุมารแพทย์โรคติดเชื้อ
ดังนั้นในปีการศึกษา 2567 สาขาวิชาโรคติดเชื้อ ภาควิชากุมารเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัย ธรรมศาสตร์ ได้ดำเนินการปรับปรุงหลักสูตรอบรมแพทย์ประจำบ้านต่อยอด อนุสาขากุมารเวชศาสตร์โรคติดเชื้อ เพื่อให้สอดคล้องกับสมาคมโรคติดเชื้อในเด็กแห่งประเทศไทย และความต้องการด้านสุขภาพของประชาชนและสังคม ตามกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาสุขภาพแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566–2570) ซึ่งเน้นการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้พร้อมรับโลกยุคใหม่ ทั้งในด้านความรู้ ทักษะทางพฤติกรรม และคุณลักษณะที่เหมาะสม รวมถึงความสามารถในการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
หลักสูตรฉบับใหม่นี้มีพันธกิจในการผลิตกุมารแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านโรคติดเชื้อ ที่สามารถดูแลผู้ป่วยเด็กได้อย่างมีประสิทธิภาพในทุกบริบท ไม่ว่าจะเป็นโรคติดเชื้อที่พบบ่อย โรคติดเชื้อเขตร้อน โรคในผู้ป่วยที่มีปัญหาซับซ้อน โรคอุบัติใหม่และอุบัติซ้ำ ตลอดจนโรคติดเชื้อในโรงพยาบาล และการใช้ยาต้านจุลชีพอย่างเหมาะสม ผู้เข้ารับการอบรมจะได้รับการฝึกฝนให้มีความรู้ด้านจุลชีววิทยา ภูมิคุ้มกันวิทยา การส่งตรวจทางห้องปฏิบัติการเพื่อการวินิจฉัยและรักษาโรคติดเชื้อในเด็ก รวมถึงทักษะในการวิจัยทางคลินิก การป้องกันและควบคุมโรค การสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคด้วยวัคซีน และระบาดวิทยาคลินิก เพื่อให้สามารถตอบสนองต่อสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลงของประเทศและของโลก และรองรับระบบสาธารณสุขที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยยึดมาตรฐานทั้งในระดับชาติและนานาชาติ
การปรับปรุงหลักสูตรครั้งนี้ พัฒนาต่อยอดจากหลักสูตรเดิม (พ.ศ. 2562) และอิงตามเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพเวชกรรมของแพทยสภา (ฉบับปรับปรุงใหม่) ที่เน้นการดูแลสุขภาพแบบองค์รวม โดยยึดผู้ป่วยเป็นศูนย์กลาง (People-centered Health Care)